Archive for Uncategorized

Buddhism: A way out?

หากคุณมีโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ใต้ร่มกาสวพักตร์เป็นเวลาสองสัปดาห์ คุณคาดหวังว่าจะได้อะไร?

สำหรับตัวผมเอง เมื่อตัดสินใจว่าจะบวชเรียนตามธรรมเนียมของชายไทยที่มีอายุเกินยี่สิบปีแล้วนั้น นอกจากเพื่อเป็นการทดแทนคุณพ่อแม่และคุณย่า ผมก็คาดหวังว่าจะได้ค้นพบความหมายที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา ได้ค้นพบแก่นแท้ของสิ่งที่พระพุทธองค์ได้ตรัสสอนไว้ และค้นพบว่าสุดท้ายแล้วคำสอนเหล่านั้น จะสามารถนำทางชีวิตของเรา ไปสู่สิ่งที่เรียกว่าความสุขที่แท้จริงได้อย่างไร

หลังจากเวลาสองสัปดาห์ได้ผ่านพ้นไป ผมกลับไม่คิดว่าผมได้รับคำตอบ

มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสรุปว่าแท้จริงแล้ว แก่นแท้ของพุทธศาสนาคือสิ่งใด เพราะทุกคำสอน คำอธิบาย ในพุทธศาสนานั้นดูจะคลุมเครือไปเสียหมด หากคุณตั้งคำถามว่า “แก่นของพุทธศาสนาคืออะไร?” กับพระสงค์ร้อยรูป คุณอาจจะได้คำตอบร้อยคำตอบที่ฟังดูแล้วคล้ายคลึงกันในบางแง่มุม แต่จะไม่มีแม้แต่คำตอบเดียว ที่สามารถตอบคำถามนี้ได้อย่างครบถ้วน และชัดเจน

อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ชาวพุทธดูจะเห็นตรงกันว่าเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของพุทธศาสนา สิ่งนั้นคือ ความจริงอันประเสริฐสี่ประการ หรือ อริยสัจ 4

อริยสัจ 4 คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสสอนให้กับปวงชนเพื่อเป็นหนทางในการดับทุกข์ โดยกล่าวว่า เพื่อที่จะเข้าถึงการเป็นอริยะ เหล่าพุทธศาสนิกชนจะต้องรู้จักสิ่งเหล่านี้คือ

1) ทุกข์ เนื่องจากสรรพสิ่งในโลกล้วนไม่มีสิ่งใดคงอยู่จีรัง ล้วนต้องตกอยู่ในวังวนแห่งการเวียนว่ายตายเกิด การประสบในสิ่งที่ไม่พอใจไม่เป็นที่รัก สิ่งต่างๆจึงล้วนเต็มไปด้วยความทุกข์

2) สมุทัย คือเหตุแห่งทุกข์ ว่าด้วยความอยากหรือการยึดเอาสิ่งต่างๆมาถือไว้เป็นของตนนั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์ เนื่องจากสิ่งต่างๆบนโลกนี้ล้วนอนิจจัง ไม่มีสิ่งใดสามารถคงอยู่กับเราไปตลอด เมื่อถึงวันที่เราต้องสูญเสีย หรือจากสิ่งนั้นไป เราก็จะต้องจมอยู่ในความทุกข์

3) นิโรธ คือการดับซึ่งตัณหาอันเป็นเหตุแห่งทุกข์ กล่าวคือ การละซึ่งความอยากได้ อยากมี ละซึ่งการยึดถือเป็นผู้ถือครอง เป็นเจ้าของในสิ่งใดๆ ไม่เว้นแม้แต่ชีวิตของเราเอง เมื่อเราไม่ยึดถือเป็นเจ้าของในสิ่งใด เราย่อมไม่มีวันต้องสูญเสียในสิ่งนั้น นำมาสู่ซึ่งความเป็นผู้ไม่จมอยู่ในความทุกข์

4) ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา หรือแนวปฏิบัติอันนำไปสู่การดับทุกข์ ได้แก่ มรรคมีองค์ 8 ประการ คือ 1. สัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบ 2. สัมมาสังกัปปะ-ความดำริชอบ 3. สัมมาวาจา-เจรจาชอบ 4. สัมมากัมมันตะ-ทำการงานชอบ 5. สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีพชอบ 6. สัมมาวายามะ-พยายามชอบ 7. สัมมาสติ-ระลึกชอบ และ 8. สัมมาสมาธิ-ตั้งใจชอบ

คำถามคือ แล้วอริยสัจ 4 สามารถนำเราไปสู่การพ้นทุกข์ได้จริงหรือไม่? โชคร้ายที่คำตอบคือ อาจจะไม่

หลักคำสอนของอริยสัจ 4 นั้น เป็นตัวอย่างของการมองโลกอย่าง Subjective กล่าวคือ ความมีอยู่ของสิ่งต่างๆบนโลกนี้นั้น เกิดขึ้นได้เพราะความรับรู้หรือ “จิต” ของมนุษย์ (Consciousness create Existence) พุทธศาสนามองว่า สิ่งต่างๆบนโลกนี้ล้วนเกิดจากการ “ปรุงแต่ง” ของจิตมนุษย์ ลองพิจารณาว่าหากเราพบหญิงงามคนหนึ่งในวันนี้ ความงามของหญิงคนนั้นจะคงสภาพไปได้ตลอดหรือไม่? แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลาเธอย่อมต้องแก่เฒ่า ผิวพรรณเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น และสิ้นอายุไขไปในที่สุด หรือหากเราครอบครองรถสปอร์ตราคาแพงคันหนึ่งในวันนี้ รถคันนั้นจะคงอยู่กับเราไปตลอดหรือไม่? แน่นอนว่าเมื่อถึงเวลารถคันนั้นก็จะต้องผุพัง เนื้อเหล็กที่ห่อหุ้มจะเต็มไปด้วยสนิม และไม่สามารถที่จะขับเคลื่อนได้อีกในที่สุด ด้วยเหตุดังตัวอย่างที่ยกมานี้ พระพุทธองค์จึงกล่าวว่าทุกสิ่งบนโลกนี้ล้วนอนิจจัง เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องจากไป สูญสิ้นสลายไป ราวกับว่าแท้จริงแล้วไม่เคยมีสิ่งนั้นอยู่ หากเป็นแต่ “จิต” ของมนุษย์เรานั่นละ ที่ไปรับรู้ ไป”ปรุงแต่ง”ว่ามีสิ่งนั้นอยู่ ว่าครอบครองสิ่งนั้นอยู่ หากจิตเราไม่รับรู้เสีย วางเฉยเสีย จิตเราก็จะหลุดพ้นจากกิเลส จากความยึดมั่นถือมั่น อันเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ทั้งปวง ดังคำกล่าวที่ว่า

“ดูเวลาที่เราไม่ได้นึกถึงตัวเรา ไม่นึกว่าเรามีอยู่ในโลก ไม่รู้สึกว่าเรามีอะไร เป็นอะไร ต้องการอะไร ไม่มีตัวฉัน ไม่มีชีวิตอยู่เลยนี้ เราสบายที่สุด แล้วจริงที่สุด ถูกต้องและจริงที่สุดในเรื่องนี้” – พุทธทาสภิกขุ

แต่ในความเป็นจริง (Reality) ความรับรู้ของมนุษย์ หาได้มีความเกี่ยวข้องกับความคงอยู่ (Existence) ของสิ่งต่างๆแต่อย่างใด เหมือนดังที่มนุษย์สามารถอาศัยก๊าซออกซิเจนในการดำรงชีวิตมานับล้านปี ก่อนที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะทำให้เราสามารถแยกแยะองค์ประกอบของอากาศได้เสียอีก ความจริงที่ว่าเราไม่สามารถใช้งานรถยนต์คันหนึ่งได้มากเกินกว่าสามถึงสี่สิบปี ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่ารถคันดังกล่าวยังสามารถใช้งานได้ในวันนี้ ยังมีคุณค่า (Value) และคงอยู่จริง (Exist) ในวันนี้ หรือความจริงที่ว่าผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้เกินกว่าร้อยปี ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่า เธอคนนั้นอาจจะเป็นแม่ เป็นลูกสาว หรือเป็นคนรักของคุณ การที่เธอไม่ได้มีชีวิตเป็นอมตะ ไม่ทำให้คุณค่าของเธอในวันนี้น้อยลงแต่อย่างใด หากแต่มันเป็นเพียงความจริงที่ว่า คุณและเธอมีเวลาอยู่ด้วยกันบนโลกนี้อย่างจำกัด จงใช้ทุกวินาทีของมันอย่างคุ้มค่าเท่านั้น

สิ่งต่างๆที่คงอยู่ย่อมคงอยู่ (Existence exist) ไม่ว่ามนุษย์จะรับรู้ความคงอยู่ของมันหรือไม่ เมื่อมนุษย์คนนึงมีชีวิตอยู่ มนุษย์คนนั้นย่อมมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าเราจะรับรู้ความคงอยู่ของเค้าหรือไม่ และหากคุณพบ และตกหลุมรักกับมนุษย์คนนั้น ความรู้สึก”รัก”นั้นย่อมมีอยู่จริง เราจะปฏิเสธความรู้สึกดังกล่าวได้อย่างไร เมื่อเราเป็นคนที่สัมผัสถึงความรู้สึกนั้นด้วยตัวเอง (Experienced it firsthand)

อย่างไรก็ดี มนุษย์ไม่ใช่สัตว์ที่ดำรงชีวิตด้วยสัญชาตญาน แต่เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความสามารถในการคิด ในการเลือก เราสามารถเลือกได้แม้แต่ตัวเลือกที่ไร้ซึ่งเหตุผล ตัวเลือกที่จะนำเราไปสู่หายนะของเราเอง เราจึงสามารถที่จะปฏิเสธ และทำให้ตัวเองเชื่อได้ว่า เราไม่ได้รัก ไม่ได้มีความรู้สึกใดๆกับคนคนนั้น แต่คำถามต่อมาที่ไม่แน่ว่าจะมีคำสอนบทใดสามารถตอบได้หรือไม่ก็คือ “แล้วเราจะทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร?”

เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความทุกข์ที่เราอาจจะต้องเผชิญ หากความรักของเราไม่เป็นที่สมหวังเช่นนั้นน่ะหรือ? ความจริงก็คือ มนุษย์ไม่สามารถเลือกที่จะดำรงชีวิตด้วยการชี้นำของความกลัวอันไร้เหตุผลได้ การทำเช่นนั้นมีแต่จะนำมาซึ่งความล้มเหลวในการใช้ชีวิต อันเป็นผลจากการตัดสินใจอย่างไม่เป็นเหตุผลของเราเอง การปฏิเสธความเป็นจริงของชีวิต (Fact of Reality) ไม่ใช่วิธีที่มนุษย์จะสามารถดำรงชีวิตรอดอยู่บนโลกนี้ได้

เป็นความจริงอย่างแน่นอนที่ว่า ความทุกข์นั้น เป็นส่วนประกอบหนึ่งของชีวิต และเป็นหน้าที่ของคุณ ที่จะต้อง”จัดการ”กับความทุกข์นั้นอย่างมีเหตุผล ตัวอย่างเช่น หากวันหนึ่งรถคันงามของคุณถูกขโมยไป ความทุกข์เกิดขึ้นตามมานั้น ไม่ได้เกิดจากเพราะรถยนต์เป็นเหตุแห่งทุกข์ หรือการครอบครองรถยนต์เป็นเหตุแห่งทุกข์ แต่เกิดจากการที่เหล่ามิจฉาชีพละเมิดสิทธิในการครอบครองรถยนต์ของคุณอย่างไม่เป็นธรรม และไม่มีประโยชน์อันใดที่คุณจะจมอยู่กับความทุกข์ จมอยู่กับการถามหาความเป็นธรรมจากโชคชะตาซำ้ๆว่า เหตุใดเมื่อคุณได้ทำกุศลผลบุญไว้ในอดีตอย่างมากมายแล้ว คุณยังคงต้องเผชิญความสูญเสียในวันนี้ เพราะเมื่อพิจารณาเรื่องนี้อย่างมีเหตุผล “กรรมดี”ที่ทำไว้ในอดีต ย่อมไม่มีและไม่เคยมีความเกี่ยวพันใดๆ ที่จะส่งผลให้รถของคุณไม่ถูกขโมยในวันนี้ หากว่าคุณนำมันไปจอดในที่ๆไม่ปลอดภัย หรือลืมที่จะล็อคประตูเมื่อลงจากรถ

หรือหากคุณต้องเสียใจเพราะผู้หญิงที่คุณรักจากคุณไปเพื่อมีคนอื่น มันไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์ หรือเพราะการมีความรักเป็นเหตุแห่งทุกข์ แต่มันเป็นเพราะการคิดเอาเองอย่างไร้เหตุผลของคุณต่างหาก ว่าเมื่อคุณมีความรักให้กับใครคนหนึ่งแล้ว คุณสมควรที่จะได้รับความรักตอบอย่างอัตโนมัติ โดยไม่เคยที่จะหยุดถามตัวเองว่าแท้จริงแล้ว คุณเคยมี และยังคงมี”คุณค่า”ที่คนที่คุณรักต้องการหรือเปล่า? ว่าคุณสมควรที่จะได้รับความรักจากเธอจริงหรือไม่? หรือในความเป็นจริงคุณกำลังร้องไห้โวยวายว่าคุณสูญเสียบางอย่างไป ทั้งที่จริงๆแล้ว คุณไม่เคยเป็นเจ้าของสิ่งนั้นเลย

หนทางเดียวที่มนุษย์จะสามารถรับมือกับความทุกข์บนโลกใบนี้ได้ คือด้วยการรับมือกับมันอย่างมีเหตุผล หาใช่การปฏิเสธซึ่งโลกแห่งความเป็นจริงโดยสิ้นเชิงไม่ หากเราเลือกที่จะปฏิเสธไม่รับรู้ความจริง ปฏิเสธซึ่งความต้องการ ความรู้สึก ความยินดีหรือความโศกเศร้าเสียใจในทุกสิ่งเสียแล้ว สิ่งที่ใกล้เคียงมนุษย์ที่สุดที่เราพอจะยังเป็นได้ก็คือ คนที่“ตาย”ไปแล้วนั่นเอง และอันที่จริง ก็อาจกล่าวได้ว่านั่นแหละ คือเป็นสิ่งที่พุทธศาสนาได้พร่ำสอนเรามาตลอด คือการเทิดทูนบูชาซึ่งความตาย บูชาหนทางที่นำไปสู่ความดับสูญของเราเอง ภายใต้ชื่อที่ตั้งไว้เรียกจุดหมายนั้นอย่างไพเราะว่า การถึงแล้วซึ่งพระปรินิพพาน

Comments (2)

Olympic-torch Iced tea.

It might be a bit too late. (ok, not a bit, a lot) But I just bought a cup of iced tea today, and look what container it’s come in, a Olympic-torch-printed cup! I think it’s pretty neat idea. Espescially combine with it’s perfect size, it make you feel like holding the actual Olympic torch in your hand! Torch relay pretending game, anyone?

Leave a Comment

Clear sky

There’s some moment that I feel my current job is really cool. This is definitely one of it. We’re on the way to Tokyo. The sky is nice and clear. About 20 mins. before landing, we saw this view from the left side of the plane. It’s the Fuji mountain, distinguish it’s self from surrounding area by it’s spectacular height and shape. Cool, isn’t it?

Leave a Comment

What become of The Nation? [updated]

I just found out today that The Nation, 2nd largest Thai foreign-language newspaper, have shrunk their daily publish to a tabloid size, converted from Daily Xpress, apparently. The ‘new’ Nation have only 12 pages or so, but still cost you as much as 25 bath. Something is definitely going on there.

Update:Looks like the missing of ‘full’ The Nation will occur only on Sunday. Still pretty weird to me, though.

photo

Leave a Comment

Test

1st post from iPhone testing

photo

Comments (1)

Mobile Life, Mobile Post

Just update my iPhone to 2.0 and found out about WordPress app. The idea of taking some photos with you mobile phone and instantly blog it really impressed me. So, I think I’d give a try here 🙂 Let’s see how it’s gonna turn out.

Leave a Comment